OCCUPATIONAL HEALTH LITERACY AND SAFETY WORKING AND SAFETY BEHAVIORSAMONG WASTE COLLECTORS IN CHIANG RAI PROVINCE

Abstract

This research is a cross-sectional descriptive study. The purpose of this research aimed to study personal data, occupational health literacy and safety behaviors among waste collectors and the relationship between personal data, occupational health literacy and safety behaviors among waste collectors in Chiang Rai Province. The sample of 241 people was selected by multi-stage random sampling method. The data were collected using by questionnaire with three parts consisting of personal data, occupational health literacy and safety behaviors among waste collectors. The data were analyzed by descriptive statistics using frequency, percentage, mean, standard deviation. Statistical analysis was conducted to determine the relationship between personal factors, occupational health literacy, and work safety behaviors. Chi-square, Fisher's exact test, and Pearson's correlation coefficient were used with a significance level of 0.05. The results showed that most of the waste collectors 55.60% had a moderate level of occupational health literacy and most of them 83.40% had a high level of occupational safety behavior. Personal factors that were related to occupational safety behavior were smoking and occupational injury (p-value < 0.05). The relationships between occupational health literacy and work safety behaviors were as follows: reading and comprehension literacy (r = 0.453, p-value < 0.001), communication skills (r = 0.461, p-value < 0.001), decision-making and application (r = 0.503, p-value < 0.001), media literacy (r = 0.430, p-value < 0.001), and self-health management (r = 0.539, p-value < 0.001). These factors were significantly related to work safety behaviors of waste collectors (p < 0.001). Therefore, relevant agencies should use the related factors, namely occupational health literacy, to further promote work safety behaviors of waste collectors.

การศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้ (Cross-sectional descriptive study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ความรอบรู้ด้านอาชีวอนามัย พฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานเก็บขยะ และความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ความรอบรู้ด้านอาชีวอนามัยกับพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานเก็บขยะ ในเขตจังหวัดเชียงราย กลุ่มตัวอย่างจำนวน 241 คน คัดเลือกโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage random sampling) เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ปัจจัยส่วนบุคคล ความรอบรู้ด้าน อาชีวอนามัย และพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานเก็บขยะ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงวิเคราะห์ เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ความรอบรู้สุขภาพด้านอาชีวอนามัยกับพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงาน โดยใช้สถิติไคสแควร์ (Chi-Square) สถิติฟิชเชอร์ (Fisher’s exact test) และสถิติค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s correlation coefficient) โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษาพบว่า พนักงานเก็บขยะส่วนใหญ่ร้อยละ 55.60 มีระดับความรอบรู้ด้านอาชีวอนามัยอยู่ในระดับปานกลาง และส่วนใหญ่ร้อยละ 83.40 มีระดับพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงานอยู่ในระดับมาก ปัจจัยส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงาน ได้แก่ การสูบบุหรี่ และการได้รับบาดเจ็บจากการทำงาน (p-value < 0.05) และความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านอาชีวอนามัยและพฤติกรรม ความปลอดภัยในการทำงาน ได้แก่ ความรอบรู้ด้านการอ่านและทำความเข้าใจ (r = 0.453, p-value < 0.001) ด้านทักษะการสื่อสาร (r = 0.461, p-value < 0.001) ด้านการตัดสินใจและนำไปใช้ (r = 0.503, p-value < 0.001) ด้านการรู้เท่าทันสื่อ (r = 0.430, p-value < 0.001) และด้านการจัดการสุขภาพของตนเอง (r = 0.539, p-value < 0.001) มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานเก็บขยะ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) ดังนั้น หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องควรนำปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ คือ ความรอบรู้ด้านอาชีวอนามัยไปใช้ในการส่งเสริมพฤติกรรมความปลอดภัย ในการทำงานของพนักงานเก็บขยะให้ดียิ่งขึ้นต่อไป